เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระวันเจ้า วันพระเป็นวันพักงาน งานของโลกเห็นไหม ดูสิ เวลานาฬิกามันตาย พอเวลาใส่ถ่านมันก็เดินอีก คนเราเวลาตายก็ตายเลยนะ ไม่มีโอกาสหรือได้โอกาสหรอก ฉะนั้นมีสติต้องคิด.. ต้องคิด ต้องหาเวลาของเรา ถ้าหาเวลาของเรา เราจะได้ประโยชน์กับเราตั้งแต่ตอนนี้

ตายแล้วนี่ มองคนอื่นเขาทำ คนไม่เคยตายไม่รู้นะ เวลาตายมันออกจากร่างไป แล้วมองกลับมามองเห็นสังคมอย่างนี้ล่ะ แต่ไม่มีโอกาส พูดกับเขา.. ตะโกนได้ยินเขาแต่เขาไม่ได้ยินเรา ถ้าเป็นสัมภเวสี ... แต่ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็สูงไปเลย แต่มองลงมาก็รู้

ในธรรมบท เห็นไหม เศรษฐีมีเงินมาก มีลูกชายคนเดียวแล้วรักลูกมาก แต่ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยไม่กล้าเอาหมอมารักษา เพราะกลัวหมอเข้ามาเห็นสมบัติ พอหมอเข้ามาเห็นในบ้านเห็นสมบัติแล้วจะคิดราคาแพง ก็เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้าน พอเอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้านนะ พระพุทธเจ้าบิณฑบาตมา ฉายแสงฉัพพรรณรังสีมา ลูกชายเหลียวไปมองเห็นพระพุทธเจ้าก็ชื่นใจ พอชื่นใจเสร็จแล้วก็ตาย

พอตายก็ไปเกิดเป็นเทวดา ไปอยู่เป็นเทวดา พ่อเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเลย แต่ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว จะรักษาลูกก็ตระหนี่ไง แต่รักนะ ! เอาศพไปฝังไว้ แล้วไปนั่งคร่ำครวญทุกวันเลย พอถึงเช้าขึ้นมาไปแล้ว ไปนั่งที่หลุมฝังศพ ไปร้องไห้.. ร้องไห้คิดถึงลูก เดี๋ยวๆ ก็ไปร้องไห้

เทวดาลูกชายเห็นอยู่ข้างบน เอ๊ ! อยากจะช่วยพ่อทำอย่างไรดี พอพ่อจะมาก็มาก่อน ปลอมเป็นเทพบุตรมานั่งร้องไห้ที่หลุมฝังศพ ก็ศพตัวเองนั่นแหละ เพราะตัวเองไปเกิดเป็นเทวดา ก็มาที่หลุมฝังศพ มานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ พ่อก็เดินมา อ้าว ! วันนี้มีใครมาร้องไห้ที่หลุมฝังศพของลูกชายตัว ก็นั่งคุยนั่งถาม

“มาร้องไห้ทำไมที่นี่”

“ร้องไห้จะเอาดาวเอาเดือน”

พ่อก็บอกว่า “มึงจะบ้าเหรอ ! เอาดาวเอาเดือนได้อย่างไร ดาวเดือนมันอยู่บนท้องฟ้า”

ก็ย้อนกลับเลยว่า “แล้วมึงจะบ้าเหรอ ! คนมันตายไปแล้วร้องไห้ยังไงมันก็ไม่ฟื้น” นี่ได้สติกลับมาเห็นไหม

ดูสิ... ดูเวลามีชีวิตอยู่ ด้วยความคิด ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว เวลาตายไปแล้วทำไมอาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น เพราะสายใยใช่ไหม พ่อลูกกันก็รักกันเป็นธรรมดา แต่กิเลสมันก็ยัง.. ขนาดพ่อกับลูกนะ ! พ่อไม่รักลูกเหรอ.. รักกันมากเลย แต่ด้วยความตระหนี่สมบัติ ด้วยความตระหนี่ค่ารักษาก็ปล่อยให้ลูกตายไป พอลูกตายไปมานั่งคร่ำครวญ คร่ำครวญเอาอะไร นี่เป็นวัตถุ สิ่งที่มองเห็น

แต่เรื่องความคิดเราล่ะ..ชีวิตเราล่ะ.. วันเวลาที่เสียไปเนี่ย... กี่ปีแล้ว ๕๐ ปี ๖๐ ปีนี่ที่เสียไป.. เสียไป เราก็หาอยู่หากินของเรา หาปัจจัยเครื่องอาศัย ที่สุดนะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าชีวิตนี้มันต้องตายเป็นที่สุดแล้วเราได้อะไรไป

ถ้ามอง.. ใช่ ! ในปัจจุบันนี้เรามีหน้าที่รับผิดชอบใช่ไหม มนุษย์จะดีกันอยู่ที่ผลของงาน การทำหน้าที่การงาน ถ้าหน้าที่การงานคนดีทำอย่างไรมันก็ได้ผลนะ ถ้าคนทุกข์ๆ ยากๆ ลุ่มๆ ดอนๆ มันก็เป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะบุญกุศลมันสร้างมาอย่างนี้ ถ้าบุญกุศลมันสร้างมาอย่างนี้ ทั้งชีวิตทำไปก็แค่นี้แหละ คนทำไปก็เท่านี้แหละ มันเป็นอย่างนี้ !

ถ้ามันเป็นอย่างนี้ปั๊บนี่.. เราอาศัยมันไป แล้วเราอาศัยสิ่งที่เป็นของจริง ของจริงคือให้ใจมันได้สัมผัสไง สัมผัสธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ถ้ามันได้สัมผัสแล้วมันจะเป็นสมบัติของเราจริงๆ นะ

ถ้าสมบัติจริงๆ ดูสิ คนทำความสงบของใจหนเดียว คนเคยทำสมาธิได้คิดถึงสมาธิทีไรมันปลื้มใจ.. มันสุขใจตลอดไป ทำไมมันสุขขนาดนั้น เงินทองมีขนาดไหนมันก็ไม่สุขเท่าเราเคยเป็นสมาธิหนหนึ่งนะ

แล้วพอมีสมาธิหนหนึ่ง เวลามันถึงที่สุด ถ้าคนมันจะตายถ้ามีสตินะ มันจะเข้ามาอยู่ตรงนี้ ถ้าเข้ามาตรงนี้เกิดเป็นพรหมแน่นอน แต่เวลาคนมันจะตายมันมีกรรมนิมิต มันมีกรรมนิมิต มันมีความผูกพัน นี่มันคิด

สังเกตได้ ! เราสังเกตคนมาเยอะ เวลาจวนตัวขึ้นมา เริ่มต้นก็จะคิดถึงครอบครัว ห่วงคนนู้น.. ห่วงคนนี้นะ.. สั่งเสียแล้ว.. สั่งเสียอีก แล้วพอถึงที่สุดนะ มันจะไม่สั่งเสียใครแล้ว... มันจะหดเข้ามาถึงตัวเราแล้ว เพราะอะไร เพราะมันบีบคั้นเข้ามา.. บีบคั้นเข้ามา.. พอบีบคั้นมานี่ เรื่องของตัวเองจะไม่ถามถึงใครแล้ว จะหาเรื่องของตัว

แต่ถ้าเป็นกรรมนิมิต ถ้าเราทำกรรมไว้นี่มันจะไปเห็นสภาวะต่างๆ นี่จะบอกว่า ถ้าพูดถึงเราทำสมาธิไว้แล้ว เคยเป็นสมาธิฝังใจแล้ว จะเกิดเป็นพรหม ๑๐๐% มันก็ไม่ใช่ ! มันไม่ใช่ตัวแปรตรงนี้ไง ตรงเวลาจะตายนี่ เราจะเสวยภพอะไร

ถ้าเราตั้งสติไว้ เราฝึกไว้เห็นไหม เรามีสมบัติ เรามีบุญกันมาก เราทำบุญกันมาก แต่เวลาเราจะตายนะ เราคิดถึงบาปอกุศลเราไปเกิดตรงนั้นก่อนนะ บุญก็มีอยู่ เป็นบาปอกุศลไหม

ครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม พระองค์หนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ เวลานั่งสมาธิไป จะเห็นเลย เห็นปลาช่อนอยู่ในกระชังเขา เป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน แล้วเขาเอากระชังมา เขาเอาปลาช่อนไว้เป็นอาหาร พระโพธิสัตว์จะสร้างบุญกุศลจะเอาปลาช่อนพวกนั้นให้รอดให้ได้

เวลาพระนั่งสมาธิ ปลาช่อนมาหาในนิมิตเลย สั่งเสียว่า “พรุ่งนี้ให้บิณฑบาตนะ ถ้าผ่านบ้านนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อองค์นี้ ให้หลวงพ่อองค์นี้เข้าไปในบ้านนั้น ไปขอเขาว่าปลาช่อนทั้งหมดเลยให้เอาไปปล่อย”

พระองค์นั้นก็ถามว่า “แล้วทำไมต้องมาหาผมล่ะ” นี่ปลาช่อนนะ ปลาช่อนบอกว่า

“อ้าว.. เพราะผมเป็นพระโพธิสัตว์ไง ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ไง” เห็นไหม

บุญกุศลเป็นปลาช่อน ทำไมรู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ล่ะ... เวลาเราสร้างบุญกุศลไว้มากขนาดไหน แต่เวลาเราจะออกจากร่าง เราคิดถึงบาปก่อน มันจะไปเสวยตรงนั้นนะ โบราณเราถึงบอกว่าคนใกล้ตายให้คิดถึงพระ ให้คิดถึงคุณงามความดี ถ้าคิดถึงคุณงามความดีแล้วเราก็ออกมา

เหมือนกับเราออกจากบ้านเลย ถ้าเราเป็นข้าราชการ เราแต่งชุดข้าราชการเราก็เป็นข้าราชการ เราแต่งชุดไปรเวท เราก็เป็นประชาชน นี่ก็เหมือนกัน จิตมันเสวยอารมณ์ มันออกมาเสวยอารมณ์ จิตมันกินอารมณ์เป็นอาหาร ถ้ามันคิดถึงสิ่งใดมันจะออกสภาวะแบบนั้น

แล้วดูสิ พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ไม่ตกไปในอบายภูมิเพราะอะไร เพราะพระโสดาบันมีสติสัมปชัญญะ เวลามันจะเป็นจะตายมันกระเพื่อม พอจิตมันกระเพื่อม มันจะกลับมาที่บุญกุศลของตัว ที่อริยภูมิของตัว ถึงไม่ตกอบายภูมิเด็ดขาด !

ถ้าการไม่ตกอบายภูมิ อย่างเช่น พวกเราถือศีล ๕ บริสุทธิ์ไม่ตกอบายภูมิเด็ดขาด.. จริง ! แต่มันอันตรายตรงนี้ไง อันตรายที่ว่าเราเป็นปุถุชน มันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่เป็นพระโสดาบันมันควบคุมได้ ๑๐๐% ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปปิดอบายภูมิ

พระสกิทาคามี พระอนาคามีขึ้นไปเห็นไหม... พระอนาคามีเวลาตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม พรหมของพระอนาคามี.. พระอริยบุคคล กับพรหมของปุถุชน เห็นไหม

ในสวรรค์ ในมนุษย์เรา มันมีปุถุชน แล้วมีอริยภูมิในหัวใจ แล้วเราไปรู้ได้อย่างไร รู้ได้ตอนแสดงธรรม รู้ได้เขาตอนแสดงวิชาการออกมา เขาบอกวิธีการออกมา ถ้าเขาไม่เคยทำ เขาบอกเราไม่ได้หรอก ถูๆ ไถๆ ไปอย่างนั้น

แต่ถ้าบอกได้นะ นี่ไง ธรรมที่ออกมาจากหัวใจ จากการรู้จริง มันเด็ดขาด ! ต้องเป็นอย่างนั้น ! ผิดจากนี้ไปไม่ได้ ! ผิดจากนี้ไปไม่เข้าหลักเกณฑ์ เป็นอย่างนั้นไปไม่ได้ มาตรฐานของมันมี

มาตรฐานของธรรม ! โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มาตรฐานของมันพิสูจน์ได้ ! ตรวจสอบได้ ! แต่ถ้าของเรามาตรฐานของเรามันไม่ถึง มันลูบๆ คลำๆ เอ๊อะๆ อ๊ะๆ มันจะ..หรือ.. อยู่ก็ได้

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ต้องเป็นอย่างนี้เด็ดขาด ! คลาดเคลื่อนจากนี้ไปไม่ได้เลย มันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะเราเป็นมันเป็นอย่างนั้นเอง เหมือนน้ำร้อน ถ้าอุณหภูมิมันไม่ถึงจะร้อนได้อย่างไร อาหารจะสุกได้อย่างไร สิ่งที่เป็นงานอย่างนี้ งานจากภายใน เห็นไหม

วันนี้วันพระ พระนะเราไปมองกันเห็นไหม มองแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ที่วัดเป็นพระ แต่เราไม่คิดเลยว่าพระอรหันต์ในบ้าน พ่อแม่นี่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ ! เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตเรามา พ่อแม่เลี้ยงดูเรามานะ กตัญญูกตเวทีเห็นไหม เวลาทำปิตุฆาต มาตุฆาต จะปิดกลั้นมรรคผลเลย ฆ่าพ่อฆ่าแม่บาปมาก ฆ่าคนอื่นยังบาปอย่างหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์ หรือทำให้พระพุทธเจ้าห้อโลหิตเป็นอนันตริยกรรม

นี่ไง...พ่อแม่ถึงเป็นพระอรหันต์ของลูก แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกก็เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ของคนทั่วไปใช่ไหม เพราะพ่อแม่ก็มีกิเลส แต่ในใจของเราล่ะ ในใจของเรา พุทธะ ! รักษาพระในบ้าน

เวลาไปวัดไปวา ไปทำบุญกับพระสงฆ์ ไปทำบุญกับพระที่เราศรัทธามีความเชื่อ อันนี้เป็นบุญกุศลที่เราสร้างบุญกุศล แล้วพระในบ้านเราดูแลอุปัฏฐาก เราก็รักษาพระในบ้านของเรา แล้วพระในตัวของเราล่ะ พุทโธในหัวใจ พระในตัวของเรา ถ้าเราเห็นคุณค่าของชีวิตนะ.. คุณค่าของชีวิต..

พระพุทธเจ้า ! พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ไหน.. พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่หัวใจ พระอริยบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเป็นที่ไหน.. ก็เป็นที่หัวใจ นี่ก็เหมือนกัน แล้วหัวใจของเราตอนนี้มันอยู่ที่ไหน หัวใจของเรามันโดนมารโดนอวิชชาครอบงำ

ถ้าเราอุปัฏฐากเห็นไหม อุปัฏฐากพ่ออุปัฏฐากแม่ มันจะมีบ้าง มันมีการกระทบกระเทือนกัน มันเป็นภาระหน้าที่ มันก็เบื่อหน่าย มันก็เป็นภาระ แต่ถ้าเราคิดถึงบุญ คิดถึงทางบวกเห็นไหม ถ้าหัวใจคิดทางบวกมันจะเข้าถึงหัวใจเรา ถ้าคิดถึงหัวใจเราเห็นไหม จากหยาบๆ จากที่ว่าเวลาคนจะตายเห็นไหม คิดถึงครอบครัวก่อน คิดถึงสมบัติก่อน แล้วพอมันใกล้ตัวขึ้นมาจะคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงการจะไปของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันหยาบๆ ขึ้นมา มันก็มาจากข้างนอกก่อน แล้วก็กลับมาในพ่อแม่เรา แล้วก็กลับมาในหัวใจเรา มันจะหดสั้นเข้ามา มันจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา แล้วมันจะมาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าที่หัวใจ

พุทธะ ! พุทธะคือธาตุรู้ไง พุทธะคือความรู้สึกอันนี้ไง แต่เรามองไม่เห็น เราถึงไม่เข้าใจว่าสมาธิเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจว่าปัญญาเป็นอย่างไร

วันพระ ! พระผู้ประเสริฐ พระในหัวใจของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์จะอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจเราจะเป็นเอง เวลาหลวงตาบอกเห็นไหม ท่านไม่เคยไปอินเดีย ไม่เคยไปไหนทั้งสิ้น พวกเราต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไประลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เวลาไปใครเป็นคนไป

เราไม่ต้องไปถึงอินเดีย เรารักษาใจเรา ตั้งสติ แล้วอุปัฏฐากนี่ เห็นสังเวชนียสถานคือการเกิดและการตาย สังเวชนียสถานคือทุกข์คือสุข เห็นแล้วสะเทือนใจไหม ถ้าสะเทือนใจพุทธะมันสว่างโพลง มันสว่างโพลงเพราะมันเห็นโทษ พอเห็นโทษ เราแก้ไข เราดัดแปลงของเราเห็นไหม มันอยู่กับเรา ของจริงๆ อยู่กับเราหมดเลย สมบัติพัสถานเราไปมีมันเราถึงมีความสุข มันเป็นอามิส มันเป็นวัตถุที่ทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าเราทำจิตของเราสงบ มันจะสุขของมัน แล้วถ้าเราไปเห็นพุทธะของเรา

พระผู้ประเสริฐนะ พระกรรมฐานเราเวลาภาวนาอยู่ในโคนไม้ อยู่ในที่ว่าง อยู่ในที่ต่างๆ ก็ค้นหาตัวตน เรามาวัดมาวากัน เราก็มาเข้าวัดที่นี่ มันเป็นงานของเรานะ หน้าที่ของเรา เรื่องของหมู่คณะเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่ท่านปกครองดูแล

ในเมื่อเราคุยเป็นธรรมะ.. ธรรมะสากัจฉา สัลเลขธรรม พูดถึงความมักน้อย พูดถึงสมาธิ พูดถึงสมถะ พูดถึงวิปัสสนา พูดถึงปัญญา พูดถึงตรงนั้น อย่าไปพูดนอกเรื่อง นอกเรื่องมันไร้สาระ ถ้าเป็นธรรมก็เป็นติรัจฉานวิชา ติรัจฉานวิชาคือวิชาการทำให้เนิ่นช้า พอเราพูดแล้วเราต้องคิดตาม มันเนิ่นช้า..

แต่ถ้าเราคิดเข้ามาในสัจธรรมของเราเห็นไหม ถ้าเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของพุทธะในหัวใจนะ มันจะพยายามขวนขวาย มันจะทำของมัน เราจะหาเวลาของเราเพื่อค้นคว้าเรา เพื่อเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม

พระผู้ประเสริฐคือเรา บอกเราเป็นได้หมดเลย หัวใจนี่เป็นเทวดาก็ได้ เป็นอินทร์ พรหมได้หมดเลย เป็นพระอรหันต์ก็ได้ เป็นเปรต เป็นผีก็ได้ เป็นคนที่ไปทำลายเขาก็ได้ มันเป็นได้หมดเลย

ถ้ามันเป็นคุณงามความดี เป็นธรรมเห็นไหม ถ้ามันเป็นโทษมันเป็นอวิชชา เราเลือกได้นะ แล้วตั้งสติแล้วทำ ทำให้เราเป็นคนดี แล้วเราจะดี ดีของเราคือดีแท้ๆ คือดี.. คือดี.. ไม่ต้องดีไปอวดใคร ไม่ต้องดีให้ใครยอมรับ ไม่ต้องดีให้ใครนับถือ อันนั้นเป็นเรื่องกิเลส

ชนะตน ! ชนะตนคือชนะที่มันจะออกไปดีนอก ให้มันเป็นดีใน ดีในเป็นดีของเรา ดีบริสุทธิ์แล้วมันจะประสบความสำเร็จ มันจะเป็นสุขแท้ นี่พระผู้ประเสริฐอยู่ที่นี่ อย่าไปตื่นที่อื่นนะ ที่อื่นเป็นที่อาศัย เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย อาหารเอาไว้ดำรงชีวิต เหลือมากมันก็เสียหาย เห็นไหม มันแค่ดำรงชีวิตพอประมาณ พอใช้พอสอย พอเป็นไป แล้วสร้างสมทรัพย์ของเราขึ้นมา อริยทรัพย์สร้างขึ้นมาให้มากๆ แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง